บทที่ 5
กลอนสุภาพ เป็นกลอนประเภทหนึ่ง ซึ่งลักษณะคำประพันธ์ของภาษาไทย ที่เรียบเรียงเข้าเป็นคณะ ใช้ถ้อยคำและทำนองเรียบๆ ซึ่งนับได้ว่ากลอนสุภาพเป็นกลอนหลักของกลอนทั้งหมด เพราะเป็นพื้นฐานของกลอนหลายชนิด หากเข้าใจกลอนสุภาพ ก็สามารถเข้าใจกลอนอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นคำประพันธ์ ที่ต่อท้ายว่า "สุภาพ" นับว่าเป็นคำประพันธ์ที่แสดงลักษณะเป็นไทยแท้ ด้วยมีข้อบังคับในเรื่อง "รูปวรรณยุกต์" ในกลอนสุภาพนอกจากมีบังคับเสียงสระเป็นแบบแผนเช่นกลอนปกติแล้ว ยังบังคับรูปวรรณยุกต์เพิ่ม จึงมีข้อจำกัดทั้งรูปและเสียงวรรณยุกต์ เป็นการแสดงไหวพริบปฏิภาณและความแตกฉานในการใช้ภาษาไทยของผู้แต่งให้เด่นชัดยิ่งขึ้นคำประพันธ์กลอนสุภาพนิยมเล่นกันมากตั้งแต่สมัยอยุธยา จวบจนถึงปัจจุบัน ในต้นรัตนโกสินทร์นั้นงานกลอนสุภาพเด่นชัดในรัชกาลที่ ๒ ซึ่งเฟื่องฟูถึงขนาดมีการแข่งขันต่อกลอนสด กลอนกระทู้ ตลอดรัชสมัยมีผลงานออกมามากมาย เช่น กลอนโขน กลอนนิทาน กลอนละคร กลอนตำราวัดโพธิ์ เป็นต้น บทพระราชนิพนธ์เรื่อง เงาะป่า ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ ยังมีกวีท่านอื่นที่มีชื่อเสียง เช่น สุนทรภู่ เป็นต้น และในสมัยรัชกาลที่ ๖ ก็มีปราชญ์กวีทางกลอนสุภาพที่สำคัญหลายท่านเช่นกันกลอนสุภาพ คือกลอนที่ใช้ถ้อยคำ และทำนองเรียบๆ แบ่งออกเป็น ๔ ชนิด คือ กลอนสุภาพแบ่งเป็น ๔ ชนิด คือ
๑. กลอน ๖ เป็นกลอนที่ใช้ในหนึ่งบทมี ๒ คำกลอน หนึ่งค ากลอนมี ๒ วรรค ทุกวรรคมี ๖ คำ(การเรียกชื่อกลอน ๖ จึงมาจากจ านวนค าในวรรค)ในหนึ่งบทมี ๔ วรรค คือ วรรคสดับ วรรครับ วรรครอง วรรคส่ง
๒. กลอน ๗ เป็นกลอนที่ใช้ในหนึ่งบทมี ๒ คำกลอน หนึ่งค ากลอนมี ๒ วรรค ทุกวรรคมี ๗ คำเรียกชื่อกลอน ๗ ตามจำนวนค าในแต่ละวรรค ลักษณะสัมผัสก็จะคล้ายกับกลอน ๖
๓. กลอน ๘ เป็นกลอนที่ใช้ในหนึ่งบทมี ๒ คำกลอน หนึ่งค ากลอนมี ๒ วรรค ทุกวรรคมี ๘ คำลักษณะสัมผัสเหมือนกลอน ๖และ ๗
๔. กลอน ๙ เป็นกลอนที่ใช้ในหนึ่งบทมี ๒ คำกลอน หนึ่งคำกลอนมี ๒วรรค ทุกวรรคมี ๙ ค า ลักษณะสัมผัสเหมือนกลอน ๖,๗ และ ๘
ตัวอย่างกลอนสุภาพ
กลอนสุภาพพึงจำมีกำหนด กลอนหนึ่งบทสี่วรรคกรองอักษร
วรรคละแปดพยางค์นับศัพท์สุนทร อาจยิ่งหย่อนเจ็ดหรือเก้าเข้าหลักการ
ห้าแห่งคำคล้องจองต้องสัมผัส สลับจัดรับรองส่งประสงค์สมาน
เสียงสูงต่ำต้องเรียงเยี่ยงโบราณ เป็นกลอนกานท์ครบครันฉันท์นี้เอย
๑. กลอน ๖ เป็นกลอนที่ใช้ในหนึ่งบทมี ๒ คำกลอน หนึ่งค ากลอนมี ๒ วรรค ทุกวรรคมี ๖ คำ(การเรียกชื่อกลอน ๖ จึงมาจากจ านวนค าในวรรค)ในหนึ่งบทมี ๔ วรรค คือ วรรคสดับ วรรครับ วรรครอง วรรคส่ง
๒. กลอน ๗ เป็นกลอนที่ใช้ในหนึ่งบทมี ๒ คำกลอน หนึ่งค ากลอนมี ๒ วรรค ทุกวรรคมี ๗ คำเรียกชื่อกลอน ๗ ตามจำนวนค าในแต่ละวรรค ลักษณะสัมผัสก็จะคล้ายกับกลอน ๖
๓. กลอน ๘ เป็นกลอนที่ใช้ในหนึ่งบทมี ๒ คำกลอน หนึ่งค ากลอนมี ๒ วรรค ทุกวรรคมี ๘ คำลักษณะสัมผัสเหมือนกลอน ๖และ ๗
๔. กลอน ๙ เป็นกลอนที่ใช้ในหนึ่งบทมี ๒ คำกลอน หนึ่งคำกลอนมี ๒วรรค ทุกวรรคมี ๙ ค า ลักษณะสัมผัสเหมือนกลอน ๖,๗ และ ๘
ตัวอย่างกลอนสุภาพ
กลอนสุภาพพึงจำมีกำหนด กลอนหนึ่งบทสี่วรรคกรองอักษร
วรรคละแปดพยางค์นับศัพท์สุนทร อาจยิ่งหย่อนเจ็ดหรือเก้าเข้าหลักการ
ห้าแห่งคำคล้องจองต้องสัมผัส สลับจัดรับรองส่งประสงค์สมาน
เสียงสูงต่ำต้องเรียงเยี่ยงโบราณ เป็นกลอนกานท์ครบครันฉันท์นี้เอย
กฎสัมผัส
พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสกับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๕ ในวรรคที่ ๒พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๓ และสัมผัสกับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๕ ในวรรคที่ ๔ สัมผัสระหว่างบทพยางค์สุดท้ายของบทต้น สัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๒ของบทถัดไป
สัมผัสในกลอนสุภาพจะมีความไพเราะยิ่งขึ้นไป นอกเหนือจากการสัมผัสตามสัมผัสบังคับแล้วยังต้องมีสัมผัสในที่เป็น สัมผัสสระและสัมผัสอักษร อีกด้วยจึงจะเป็นบทกลอนที่ไพเราะ เสียงวรรณยุกต์ คือ การบังคับเสียงท้ายวรรคของบทร้อยกรองโดยเฉพาะบทร้อยกรองประเภทกลอน อันที่จริงไม่ถึงกับเป็นการบังคับที่เคร่งครัดแต่ก็เป็นความนิยมโดยทั่วไปทางการแต่งบทร้อยกรอง
เสียงท้ายวรรคของกลอน
วรรคสดับ นิยมใช้เสียงวรรณยุกต์ทุกเสียง
วรรครับ นิยมใช้เสียงวรรณยุกต์เอก โท และจัตวา
วรรครอง นิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สามัญ และ ตรี
วรรคส่ง นิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สามัญ และตรี
ข้อสอบพยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสกับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๕ ในวรรคที่ ๒พยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๓ และสัมผัสกับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๕ ในวรรคที่ ๔ สัมผัสระหว่างบทพยางค์สุดท้ายของบทต้น สัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๒ของบทถัดไป
สัมผัสในกลอนสุภาพจะมีความไพเราะยิ่งขึ้นไป นอกเหนือจากการสัมผัสตามสัมผัสบังคับแล้วยังต้องมีสัมผัสในที่เป็น สัมผัสสระและสัมผัสอักษร อีกด้วยจึงจะเป็นบทกลอนที่ไพเราะ เสียงวรรณยุกต์ คือ การบังคับเสียงท้ายวรรคของบทร้อยกรองโดยเฉพาะบทร้อยกรองประเภทกลอน อันที่จริงไม่ถึงกับเป็นการบังคับที่เคร่งครัดแต่ก็เป็นความนิยมโดยทั่วไปทางการแต่งบทร้อยกรอง
เสียงท้ายวรรคของกลอน
วรรคสดับ นิยมใช้เสียงวรรณยุกต์ทุกเสียง
วรรครับ นิยมใช้เสียงวรรณยุกต์เอก โท และจัตวา
วรรครอง นิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สามัญ และ ตรี
วรรคส่ง นิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สามัญ และตรี
ข้อที่ 1/20
คำถาม :
คำประพันธ์ประเภทกลอน ปรากฏครั้งแรกคือเรื่องใด
ข้อที่ 2/20
คำถาม :
ข้อใดกล่าวถึงลักษณะกลอนสุภาพได้ถูกต้อง
ข้อที่ 3/20
คำถาม :
ลักษณะบังคับของกลอนสุภาพข้อใด ไม่ถูกต้อง
ข้อที่ 4/20
คำถาม :
ข้อใด ไม่ใช่ข้อบังคับฉันทลักษณ์ของกลอน
ข้อที่ 5/20
คำถาม :
กลอนสุภาพหรือกลอนแปด แบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
ข้อที่ 6/20
คำถาม :
วรรณคดีเรื่องใด ไม่ใช้คำประพันธ์ประเภทกลอน
ข้อที่ 7/20
คำถาม :
เสียงวรรณยุกต์ที่บังคับในคำสุดท้ายในแต่ละวรรคข้อใด ไม่ถูกต้อง
ข้อที่ 8/20
คำถาม :
คำใดเป็นคำขึ้นต้นของกลอนบทละคร
ข้อที่ 9/20
คำถาม :
กลอนใดที่ไม่ลงท้ายด้วย “เอย”
ข้อที่ 10/20
คำถาม :
ข้อใด ไม่มีคำที่สัมผัสกัน
ข้อที่ 11/20
คำถาม :
คำประพันธ์ประเภทกลอน ปรากฏครั้งแรกคือเรื่องใด
ข้อที่ 12/20
คำถาม :
ข้อใดกล่าวถึงลักษณะกลอนสุภาพได้ถูกต้อง
ข้อที่ 13/20
คำถาม :
ลักษณะบังคับของกลอนสุภาพข้อใด ไม่ถูกต้อง
ข้อที่ 14/20
คำถาม :
ข้อใด ไม่ใช่ข้อบังคับฉันทลักษณ์ของกลอน
ข้อที่ 15/20
คำถาม :
กลอนสุภาพหรือกลอนแปด แบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง
ข้อที่ 16/20
คำถาม :
วรรณคดีเรื่องใด ไม่ใช้คำประพันธ์ประเภทกลอน
ข้อที่ 17/20
คำถาม :
เสียงวรรณยุกต์ที่บังคับในคำสุดท้ายในแต่ละวรรคข้อใด ไม่ถูกต้อง
ข้อที่ 18/20
คำถาม :
คำใดเป็นคำขึ้นต้นของกลอนบทละคร
ข้อที่ 19/20
คำถาม :
กลอนใดที่ไม่ลงท้ายด้วย “เอย”
ข้อที่ 20/20
คำถาม :

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น