วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ผู้จัดทำ



ประวัติผู้จัดทำ



ชื่อ น.ส. สุพัตตรา วงค์หนายโกฎ
เลขประจำตัวนักเรียน 08092

คติประจำใจ  ไม่มีคำว่าจน ในหมู่คนขยัน

ความใฝ่ฝัน  นักกีฬา นักดนตรี

ความในใจถึงเพื่อน 3/1      ถึงเพื่อน...อีกไม่นานแล้วสินะจะต้องจากกันไปพบเจอสิ่งใหม่ในวันข้างหน้า
ถึงเวลาจะผ่านไปเร็วขนาดนี้...เรียน...เล่น...เที่ยว...เผลแผล็บเดียวก็ 3 ปี แต่คล้ายกับว่าเราพึ่งเจอกัน
ถึงเราจะต้องจากกัน...แต่ความเป็นเพื่อนของเรานั้น จะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป...^^

ความในใจถึงครู  ในฐานะที่หนูเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ มั่นใจเลยว่าในสายตาของอาจารย์มองลูกศิษย์ของตัวเองแตกต่างกันไป ก่อนอื่นต้องขอโทษอาจารย์ด้วย ที่หนูไม่ค่อยสนใจเรียน คุย เล่น ไม่สนใจที่อาจารย์พูด แต่ก็ขอบคุณอาจารย์ที่ไม่เคยโกรธ และยังสนใจพวกหนูตลอดจนปิดคอร์สเรียน อาจารย์ยังคงตั้งใจสอนเสมอมาและปิดคอร์สเรียนแล้วคงไม่ได้เจออาจารย์ ขอให้อาจารย์ยังเป็นอาจารย์ที่รักเด็ก และตั้งใจสอนอย่างนี้ตลอดไป รักและเคารพนะคะ  

ความในใจถึงโรงเรียน ครั้งแรกที่ฉันได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ฉันรู้สึกอึดอัดมากเพราะเรียนหนักไม่เหมื่อนโรงเรียนเก่าที่ฉันเรียนนมารู้สึกเหนื่อยรู้สึกท้ออยากลาออกมากแต่พอเริ่มปรับตัวได้ฉันก็สามารถทนเรียนต่อไปได้จนเกลื่อบจบและเข้าใจถึงสิ่งที่โรงเรียนต้องการจะให้เด็กทุกคนได้จากครูแต่ฉันมักจะมองข้ามสิ่งที่โรงเรียนต้องการจะให้ฉันมองว่าสิ่งที่โรงเรียนพยายามทำอยู่นั่นเหมือนการบังคับให้เด็กเรียนการมาโรงเรียนของฉันจึงเหมื่อนมาเข้าคุก จนถึงตอนนี้ฉันใกล้จจะจบแล้วฉันอยากจะบอกว่าฉันรักโรงเรียนนี้ที่โรงเรียนแห่งนี้สอนหลายอย่างให้กลับฉันมีทั่งเพื่อนที่ดีครูที่ดีและครูที่ดี ฉันมีความสุขที่ได้มาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้

บทที่ 5

บทที่ 5





        กลอนสุภาพ เป็นกลอนประเภทหนึ่ง ซึ่งลักษณะคำประพันธ์ของภาษาไทย ที่เรียบเรียงเข้าเป็นคณะ ใช้ถ้อยคำและทำนองเรียบๆ ซึ่งนับได้ว่ากลอนสุภาพเป็นกลอนหลักของกลอนทั้งหมด เพราะเป็นพื้นฐานของกลอนหลายชนิด หากเข้าใจกลอนสุภาพ ก็สามารถเข้าใจกลอนอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นคำประพันธ์ ที่ต่อท้ายว่า "สุภาพ" นับว่าเป็นคำประพันธ์ที่แสดงลักษณะเป็นไทยแท้ ด้วยมีข้อบังคับในเรื่อง "รูปวรรณยุกต์" ในกลอนสุภาพนอกจากมีบังคับเสียงสระเป็นแบบแผนเช่นกลอนปกติแล้ว ยังบังคับรูปวรรณยุกต์เพิ่ม จึงมีข้อจำกัดทั้งรูปและเสียงวรรณยุกต์ เป็นการแสดงไหวพริบปฏิภาณและความแตกฉานในการใช้ภาษาไทยของผู้แต่งให้เด่นชัดยิ่งขึ้นคำประพันธ์กลอนสุภาพนิยมเล่นกันมากตั้งแต่สมัยอยุธยา จวบจนถึงปัจจุบัน ในต้นรัตนโกสินทร์นั้นงานกลอนสุภาพเด่นชัดในรัชกาลที่ ๒ ซึ่งเฟื่องฟูถึงขนาดมีการแข่งขันต่อกลอนสด กลอนกระทู้ ตลอดรัชสมัยมีผลงานออกมามากมาย เช่น กลอนโขน กลอนนิทาน กลอนละคร กลอนตำราวัดโพธิ์ เป็นต้น บทพระราชนิพนธ์เรื่อง เงาะป่า ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ ยังมีกวีท่านอื่นที่มีชื่อเสียง เช่น สุนทรภู่ เป็นต้น และในสมัยรัชกาลที่ ๖ ก็มีปราชญ์กวีทางกลอนสุภาพที่สำคัญหลายท่านเช่นกันกลอนสุภาพ คือกลอนที่ใช้ถ้อยคำ และทำนองเรียบๆ แบ่งออกเป็น ๔ ชนิด คือ กลอนสุภาพแบ่งเป็น ๔ ชนิด คือ
        ๑. กลอน ๖ เป็นกลอนที่ใช้ในหนึ่งบทมี ๒ คำกลอน หนึ่งค ากลอนมี ๒ วรรค ทุกวรรคมี ๖ คำ(การเรียกชื่อกลอน ๖ จึงมาจากจ านวนค าในวรรค)ในหนึ่งบทมี ๔ วรรค คือ วรรคสดับ วรรครับ วรรครอง วรรคส่ง
         ๒. กลอน ๗ เป็นกลอนที่ใช้ในหนึ่งบทมี ๒ คำกลอน หนึ่งค ากลอนมี ๒ วรรค ทุกวรรคมี ๗ คำเรียกชื่อกลอน ๗ ตามจำนวนค าในแต่ละวรรค ลักษณะสัมผัสก็จะคล้ายกับกลอน ๖
         ๓. กลอน ๘ เป็นกลอนที่ใช้ในหนึ่งบทมี ๒ คำกลอน หนึ่งค ากลอนมี ๒ วรรค ทุกวรรคมี ๘ คำลักษณะสัมผัสเหมือนกลอน ๖และ ๗
        ๔. กลอน ๙ เป็นกลอนที่ใช้ในหนึ่งบทมี ๒ คำกลอน หนึ่งคำกลอนมี ๒วรรค ทุกวรรคมี ๙ ค า ลักษณะสัมผัสเหมือนกลอน ๖,๗ และ ๘
 
ตัวอย่างกลอนสุภาพ
            กลอนสุภาพพึงจำมีกำหนด            กลอนหนึ่งบทสี่วรรคกรองอักษร 
    วรรคละแปดพยางค์นับศัพท์สุนทร           อาจยิ่งหย่อนเจ็ดหรือเก้าเข้าหลักการ    
            ห้าแห่งคำคล้องจองต้องสัมผัส        สลับจัดรับรองส่งประสงค์สมาน 
เสียงสูงต่ำต้องเรียงเยี่ยงโบราณ                  เป็นกลอนกานท์ครบครันฉันท์นี้เอย 
กฎสัมผัส
        พยางค์สุดท้ายของวรรคที่  สัมผัสกับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๕ ในวรรคที่ ๒พยางค์สุดท้ายของวรรคที่  สัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของวรรคที่  และสัมผัสกับพยางค์ที่ ๓ หรือ ๕ ในวรรคที่ ๔  สัมผัสระหว่างบทพยางค์สุดท้ายของบทต้น สัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของวรรคที่ ๒ของบทถัดไป
        สัมผัสในกลอนสุภาพจะมีความไพเราะยิ่งขึ้นไป    นอกเหนือจากการสัมผัสตามสัมผัสบังคับแล้วยังต้องมีสัมผัสในที่เป็น  สัมผัสสระและสัมผัสอักษร  อีกด้วยจึงจะเป็นบทกลอนที่ไพเราะ เสียงวรรณยุกต์ คือ การบังคับเสียงท้ายวรรคของบทร้อยกรองโดยเฉพาะบทร้อยกรองประเภทกลอน อันที่จริงไม่ถึงกับเป็นการบังคับที่เคร่งครัดแต่ก็เป็นความนิยมโดยทั่วไปทางการแต่งบทร้อยกรอง
เสียงท้ายวรรคของกลอน
        วรรคสดับ นิยมใช้เสียงวรรณยุกต์ทุกเสียง
        วรรครับ นิยมใช้เสียงวรรณยุกต์เอก โท และจัตวา
        วรรครอง นิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สามัญ และ ตรี่
        วรรคส่ง นิยมใช้เสียงวรรณยุกต์สามัญ และตรี
                                   ข้อสอบ
ข้อที่ 1/20
คำถาม : 

คำประพันธ์ประเภทกลอน ปรากฏครั้งแรกคือเรื่องใด  

ข้อที่ 2/20
คำถาม : 

ข้อใดกล่าวถึงลักษณะกลอนสุภาพได้ถูกต้อง  

ข้อที่ 3/20
คำถาม : 

ลักษณะบังคับของกลอนสุภาพข้อใด ไม่ถูกต้อง                

ข้อที่ 4/20
คำถาม : 

ข้อใด ไม่ใช่ข้อบังคับฉันทลักษณ์ของกลอน  

ข้อที่ 5/20
คำถาม : 

กลอนสุภาพหรือกลอนแปด แบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง    

ข้อที่ 6/20
คำถาม : 

วรรณคดีเรื่องใด ไม่ใช้คำประพันธ์ประเภทกลอน  

ข้อที่ 7/20
คำถาม : 

เสียงวรรณยุกต์ที่บังคับในคำสุดท้ายในแต่ละวรรคข้อใด  ไม่ถูกต้อง    

ข้อที่ 8/20
คำถาม : 

คำใดเป็นคำขึ้นต้นของกลอนบทละคร  

ข้อที่ 9/20
คำถาม : 

กลอนใดที่ไม่ลงท้ายด้วย “เอย”   

ข้อที่ 10/20
คำถาม : 

 ข้อใด  ไม่มีคำที่สัมผัสกัน    

ข้อที่ 11/20
คำถาม : 

คำประพันธ์ประเภทกลอน ปรากฏครั้งแรกคือเรื่องใด  

ข้อที่ 12/20
คำถาม : 

ข้อใดกล่าวถึงลักษณะกลอนสุภาพได้ถูกต้อง  

ข้อที่ 13/20
คำถาม : 

ลักษณะบังคับของกลอนสุภาพข้อใด ไม่ถูกต้อง                

ข้อที่ 14/20
คำถาม : 

ข้อใด ไม่ใช่ข้อบังคับฉันทลักษณ์ของกลอน  

ข้อที่ 15/20
คำถาม : 

กลอนสุภาพหรือกลอนแปด แบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง    

ข้อที่ 16/20
คำถาม : 

วรรณคดีเรื่องใด ไม่ใช้คำประพันธ์ประเภทกลอน  

ข้อที่ 17/20
คำถาม : 

เสียงวรรณยุกต์ที่บังคับในคำสุดท้ายในแต่ละวรรคข้อใด  ไม่ถูกต้อง    

ข้อที่ 18/20
คำถาม : 

คำใดเป็นคำขึ้นต้นของกลอนบทละคร  

ข้อที่ 19/20
คำถาม : 

กลอนใดที่ไม่ลงท้ายด้วย “เอย”   

ข้อที่ 20/20
คำถาม : 

 ข้อใด  ไม่มีคำที่สัมผัสกัน    

บทที่ 4



บทที่ 4


                              คำนาม


ความหมายของคำนาม

               คำนาม หมายถึง คำพื้นฐานสามัญที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ อาการ สถานที่ จัดเป็นคำชนิดแรกในภาษาไทย

ชนิดของคำนาม

               หลักภาษาไทยได้แบ่งคำนามออกเป็น ๕ ชนิด  ดังนี้

               ๑. คำนามสามัญ  คือ คำนามทั่วไป  เช่น

                   นักเรียนเขียนหนังสือ

                   หมากัดแมว

                   ปากกา  ดินสอ  อยู่ในกล่อง

               ๒. คำนามวิสามัญ  คือ คำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ  เช่น

                   ซันป๋อกำลังเขียนรายงาน

                   ก้องไปเที่ยวจังหวัดร้อยเอ็ดตอนปิดเทอม

               ๓.  ลักษณนาม  คือ คำนามที่ประกอบกับคำนามอื่น เพื่อแสดงรูปลักษณะ ขนาด หรือ ปริมาณของนั้น เช่น

                   ยักษ์  ๓  ตน                ขลุ่ย ๑เลา               พระภิกษุ  ๑  รูป

                   พระพุทธรูป  ๒  องค์       ดินสอ ๓  แท่ง           เงิน  ๕  บาท

               ๔.  สมุหนาม คือ  คำนามที่แสดงหมวดหมู่  เช่น

                   ฝูงนกพิราบบินกลับรัง

                   โขลงช้างเดินเข้าป่า

                   คณะนักร้องหมอลำเดินทางไปจังหวัดเลย

               ๕.  อาการนาม  คือ คำนามที่เกิดจากคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ ที่มีคำว่า การ และ  ความ  นำหน้า  เช่น

                   ความรักทำให้คนตาบอด

                   การออกกำลังกายทำให้ร่างกายแข็งแรง

ข้อสังเกตควรจำ
                                   ๑. คำลักษณนามและคำสมุหนาม อาจใช้คำเดียวกันให้นักเรียนสังเกตที่ตำแหน่ง ดังนี้
                                       คำลักษณนามจะอยู่หลังคำนาม ส่วนคำสมุหนามจะอยู่หน้าคำนาม  เช่น
                                              J    ฝูงม้าลายลงมาดื่มน้ำที่หนองน้ำในหมู่บ้าน  (ฝูง เป็นคำสมุหนาม)
                                              J    ม้าลายฝูงหนึ่งลงมาดื่มน้ำที่หนองน้ำในหมู่บ้าน (ฝูง เป็นคำลักษณะนาม)
                                   ๒. ถ้าคำว่า “การ” หรือ“ความ” นำหน้าคำนาม  ไม่ถือเป็นอาการนาม แต่จัดเป็น สามายนาม  เช่น
                                                                การไฟฟ้า         การประปา        ความอาญา

 หน้าที่ของคำนาม
               ๑. คำนามทำหน้าที่เป็นประธาน เช่น   น้อยชอบวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าๆ
               ๒. คำนามทำหน้าที่เป็นกรรม     เช่น   เขากำลังเขียนจดหมาย
               ๓. ทำหน้าที่ขยายคำนาม         เช่น   ดอกแก้วน้องสาวของฉันเป็นคนเรียนเก่ง
               ๔. ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็ม (คำนามจะอยู่หลังคำกริยาเหล่านี้ เป็น เหมือน คล้าย เท่า คือ)  เช่น  สมชายหน้าคล้ายพ่อเขามาก
               ๕. ทำหน้าที่ใช้เป็นคำเรียกขาน   เช่น  แดงเอ๊ยออกมาหายายหน่อยซิ
ข้อสอบ
คำถาม :

“สมชายเข้าแจ้งความ........เจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเขาเห็นคนถูกยิงตาย.........ตาตนเอง” คำบุพบทใดเหมาะสมกับประโยคนี้

ข้อที่ 
คำถาม : 

คำว่า “ดี” ในข้อใดเป็นคำนาม

ข้อที่ 
คำถาม : 

ข้อใดใช้คำกริยาทำหน้าที่ประธานของประโยค

ข้อที่ 
คำถาม : 

ข้อใดมีคำอุทานแสดงอาการแปลกใจ

ข้อที่ 
คำถาม : 

“ถึง” ในข้อใดทำหน้าที่คำสันธาน

ข้อที่ 
คำถาม : 

“อาสาฬหบูชา” อ่านว่าอย่างไร

ข้อที่ 
คำถาม : 

ข้อใดไม่มีอาการนาม

ข้อที่
คำถาม : 

คำในข้อใดใช้ลักษณนามเหมือนกันทุกคำ

ข้อที่ 
คำถาม : 

ข้อใดมีนามทั่วไป นามเฉพาะ ลักษณนาม

ข้อที่ 
คำถาม : 

“รัฐบาลส่งเสริมการท่องเที่ยว” ข้อความนี้มีคำนามกี่คำ

ข้อที่ 
คำถาม : 

คำว่า “ใคร” ในข้อใดไม่ใช่สรรพนามใช้ถาม

ข้อที่ 
คำถาม : 

ข้อใดมีคำสรรพนามบุรุษที่ 3

ข้อที่ 
คำถาม : 

คำว่า “กัน” ในข้อใดทำหน้าที่เป็นวิภาคสรรพนาม

ข้อที่ 
คำถาม : 

“ใครอยากได้เลือดเราหยดหนึ่งก็ให้เอาเลือดตัวขันหนึ่งมาแลกไปเถิด” ใคร เป็นคำสรรพนามชนิดใด

ข้อที่ 
คำถาม : 

ข้อใดใช้สรรพนามไม่ถูกกาลเทศะ

ข้อที่ 
คำถาม : 

คำว่า “เขา” ในข้อใดเป็นคำสรรพนาม

ข้อที่ 
คำถาม : 

“........ช้างจับ...........” คำที่เติมในช่องว่าเป็นคำชนิดใด

ข้อที่ 
คำถาม : 

ข้อใดไม่มีกริยาอาศัยส่วนเติมเต็ม

ข้อที่ 
คำถาม : 

ข้อใดมีทั้งอกรรมกริยาและสกรรมกริยา

ข้อที่ 
คำถาม : 

“คนซื้อต่อว่าคนขายจนร้องไห้” คำใดที่เป็นกริยาของประโยค

ผู้จัดทำ

ประวัติผู้จัดทำ ชื่อ น.ส. สุพัตตรา วงค์หนายโกฎ เลขประจำตัวนักเรียน 08092 คติประจำใจ   ไม่มีคำว่าจน ในหมู่คนขยัน ความ...